ช่างยนต์
เครื่องมือช่างยนต์ทั่วไป
เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับทำงานโดยใช้แรงจากคนอาจจะ ใช้การขัน ตอก ตัด เป็นต้น ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับงานซ่อมเครื่องยนต์
ประแจ ( Wrench )
เป็นเครื่องมือหลักที่มีความสำคัญที่ สุดสำหรับการซ่อมเครื่องยนต์ หรือเครื่องจักรกลทั่ว ๆ ไป การนำประแจ มาใช้งานจะต้องเลือก ขนาดของประแจให้ตรงกับขนาดของ นอตหรือสกรูหกเหลี่ยม
ประแจปากตาย ( Open end wrench )
เป็นประแจปลายเปิดทั้ง2 ข้าง หน้าสัมผัสกับหัวสลักเกลียวหรือนอตเพียง 2 ด้าน จึงทำให้เหลี่ยมมนได้ง่าย ประแจปาก ตายใช้สำหรับขันหรือคลายนอต สกรู และนอตท่อต่าง ๆ ที่ประแจแหวนขันไม่ได้เพราะมีพื้นที่น้อย ไม่ควรใช้ในคลายโบลต์หรือนอตที่ตึงเกินไป เพราะจะทำให้ลื่นไถลออกมาได้ง่าย ดังรูป
ประแจปากตาย
ประแจแหวน ( Box wrench )
เป็นประแจปลายปิดลักษณะเป็นวงแหวน จะมีคอที่งอใช้สำหรับขันหรือคลายนอตสกรูและงานทั่ว ๆ ไป ประแจแหวนจะมีเหลี่ยมที่สัมผัสกับหัวนอต ได้ทุกด้าน จึงทำให้เหลี่ยมไม่มน สามารถใช้แรงขันได้มากขึ้นโดยไม่ลื่นไถลหลุดออกมา ดังรูป
ประแจแหวน
ประแจรวม ( Combination wrench )
จะถูกออกแบบให้ข้างหนึ่งเป็นประแจปากตาย ส่วนอีกข้างหนึ่งจะทำเป็นประแจแหวน ซึ่งแต่ละข้างจะมีขนาดเท่ากัน ใช้สำหรับขันหรือคลายนอตแทนประแจแหวนในบริเวณที่แคบ ๆ ดังรูป
ประแจรวม
ประแจกระบอก ( Socket wrench )
มีลักษณะภายในคล้ายกับประแจแหวน คือ สามารถสวมเข้าพอดีกับโบลท์หรือนอต เป็นประแจที่ใช้ร่วมกับด้ามประแจใช้สำหรับขันหรือคลายนอตหรือโบลท์ได้ดีที่สุด ขันได้แน่นและหัวนอตไม่เยินหรือชำรุด ส่วนปลายของประแจกระบอกเป็นที่ยึดติดกับด้ามต่อ มีลักษณะเป็นรู 4 เหลี่ยมสำหรับสอดปลายของด้ามต่อเข้าไป ดังรูป
ประแจกระบอก
ด้ามขันแบบตัวที (Sliding “T” handle)
ทำหน้าที่ใช้สำหรับต่อกับประแจกระบอก เพื่อใช้ขันหรือคลายนอตและโบลท์ที่ต้องการออกแรงทางด้านซ้ายหรือด้านขวาเท่าๆกัน ดังรูป
ด้ามขันแบบตัวที
ด้ามต่อ (Extension)
ทำหน้าที่ใช้สำหรับต่อกับประแจกระบอกและด้ามขัน เพื่อใช้ขันหรือคลายโบลท์หรือนอตที่มีตำแหน่งลึก ดังรูป
ด้ามต่อ
ไขควง(Screw Driver)
คือ อุปกรณ์ชนิดหนึ่งซึ่งออกแบบมาเพื่อขันสกรูให้แน่นหรือคลายสกรูออก ไขควงทั่วไปประกอบด้วย แท่งโลหะ ส่วนปลายใช้สำหรับยึดกับสกรู ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันเพื่อให้ใช้ได้กับสกรูชนิดต่างๆ และมีแท่งสำหรับจับคล้ายทรงกระบอก อยู่อีกด้านหนึ่งสำหรับการไขด้วยมือ หรือไขควงบางชนิดอาจจะหมุนด้วยมอเตอร์ก็ได้ ไขควงทำงานโดยการส่งทอร์ก (torque) จากการหมุนไปที่ปลาย ทำให้สกรูหมุนตามเกลียวเข้าหรือออกจากวัสดุอื่น ไขควง (Screw Driver) เป็นเครื่องมือสำหรับ ขันและคลาย สกรูชนิดหัวผ่า ขนาดและรูปทรงของไขควงถูกออกแบบให้เป็นไปตามลักษณะการ ใช้งาน เช่น ไขควงที่ใช้สำหรับงานของช่างอัญมณี (Jeweler’s Screw Driver)จะออกแบบมาให้เป็นไขควงที่ใช้สำหรับงานละเอียดเที่ยงตรงกับ ไขควง ที่ใช้ ในงานหนักของช่างเครื่องกลจะออกแบบให้ก้านใบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพื่อให้ใช้ประแจ หรือ คีมจับขันเพื่อเพิ่มแรงในการบิดตัวของ ไขควง ให้มากกว่าเดิมได้ไขควงประกอบด้วย ส่วนประกอบหลัก 3 ส่วนคือ
1.ด้ามไขควง (Handle)
2.ก้านไขควง (Blade or Ferule)
3.ปากไขควง (Tip)
ด้ามไขควง ออกแบบให้มีรูปทรงที่สามารถจับได้ถนัดมือ และสามารถบิดไขควงไป-มา ได้แรงมากที่สุด ไขควงจะทำจากวัสดุต่างๆ เช่น ไม้ พลาสติก หรือ โลหะบางชนิดตามประเภทการใช้งานปากไขควง จะทำจากเหล็กล้าเกรดดี ทรงกลมหรือสี่เหลี่ยม จัตุรัส ตีขึ้นรูปให้ลาดแบน และ ชุบแข็งด้วยความร้อน ในส่วนที่ไม่ได้ตีขึ้นรูปจะเป็นก้านไขควง ถ้าเป็นไขควงที่ใช้สำหรับงานเบาจะเป็นเหล็กกล้าทรงกลมถ้าเป็นไขควงสำหรับ ใช้งานหนักจะเป็นเหล็กกล้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพื่อให้สามารถใช้ประแจหรือคีมจับเพิ่มแรงบิดงานได้ก้านไขควงส่วนที่ต่อกับด้ามจะตีเป็นเหลี่ยมลาด เพื่อให้สวมได้สนิทกับด้าม เพื่อให้ด้ามจับก้านไขควงได้สนิทและไม่หมุนเมื่อใช้งานไขควง ในปัจจุบันมีการออกแบบให้ก้านไขควงทะลุตลอดด้าม ที่เป็นพลาสติก หรือไฟเบอร์และทำเป็นแท่นรับแรงสามารถใช้ค้อนเคาะตอกเพื่อการทำงานบางประเภทได้ขนาดความกว้างของปากไขควงจะมีสัดส่วน มาตรฐานสัมพันธ์กับความยาวของขนาดทั้งหมดของไขควงซึ่งเป็นข้อสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเลือกใช้ไขควงเพราะแรงบิดที่กระทำต่อตัวสกรูจะเป็น ผลส่วนหนึ่งมาจากความยาวนี้ และอีกประการหนึ่งไขควงขนาดยาวปากไขควงจะกว้างกว่าปากไขควงขนาดสั้นความหนาของปากไขควงจะขึ้นอยู่กับ ความกว้างของปาก ปากกว้างมากก็จะยิ่งมีความหนามากขึ้น ความหนาของปากไขควงเป็นผลโดยตรงกับการออกแรงบิดตัวสกรูเพราะถ้าขนาด ของปากไขควงไม่พอดีกับร่องผ่าของหัวสกรูจะทำให้การขันพลาดทำให้หัวสกรูเยินหรือต้องสูญเสียแรงงานส่วนหนึ่งในการประคองปากไขควง ให้อยู่บนร่องหัวสกรู แทนการหมุนสกรูก่อนการนำไขควงไปใช้งาน ต้องตรวจสอบปากไขควงให้อยู่ใน สภาพพร้อมที่จะใช้งาน คือ ปากต้องเรียบ ไม่มีรอยบิด และเมื่อพิจารณาดูจากด้านล่างต้องมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไขควงที่ปากชำรุดสึกหรอไม่เรียบตรงหรือปากแตกร้าว เป็นอันตรายต่อ การใช้งานมากเพราะเมื่อใช้งานปากไขควงจะไม่สัมผัสกับร่องบนหัวสกรูเต็มที่ เมื่อออกแรงบิดจะทำให้พลาดจากร่องจะทำให้หัวสกรูบิ่นหรือลื่นจากหัว สกรูทำให้ผู้ขันได้รับอันตรายได้ไขควงแฉก (Phillips) หรือ ไขควงหัวลูกศร เป็นไขควงที่ออกแบบมาสำหรับใช้กับ สกรูชนิดร่องหัวผ่าไขว้กัน การออกแบบ ขนาด และการเลือกใช้งานก็เช่นเดียวกับไขควงปากแบนข้อสำคัญที่สุดคือต้องเลือกใช้ไขควงที่ปากแนบสนิทกับร่องผ่าบนหัวสกรู จึงใช้งานได้เต็มตามประสิทธิภาพของไขควงไขควงเยื้องศูนย์ (Offset Screw Driwer) เป็นไขควงที่ออกแบบมาสำหรับการงานพิเศษที่ไขควงแบบ ปกติใช้งานไม่ได้ เช่นตามซอกมุมต่างๆ ไขควงชนิดพิเศษทำปากไขควงอยู่ที่ปลายทั้งสองด้านอาจหันปากไปในตำแหน่งตามกันหรือเยื้องกันก็ได้ ส่วน ก้านใบไขควงอยู่ตรงกลางและทำหน้าที่เป็นด้ามไขควงด้วย

ประเภทของไขควง
1.ไขควงปากแบบหรือไขควงธรรมดา (Common Screwdriver€) ปากไขควงจะมีลักษณะแบนลาดเอียงไปยังปลายสุดของไขควงทุกแบบสํ าหรับขันหรือคายสกรูหรือตะปูควงชนิดต่าง ๆ
2.ไขควงปากแฉก (Cross – Reset Head Screwdriver) ไขควงชนิดนี้ส่วนที่ปลายของไขควงปากแฉกหรือลักษณะปากจีบจะผ่าหัวเป็นสี่แฉกเวลาบิดจะต้องใช้แรงกดที่ด้ามมากกว่าไขควงธรรมดาเพื่อไม่ให้เหลี่ยมของไขควงหลุดจากร่องไขควงหัวคลัตช์ (Clutch – Head Screwdriver) เป็นไขควงที่มีใช้เฉพาะกับตะปู
3.วงหรือสกรูสํ าหรับงานโลหะแผ่น และงานการตกแต่งที่ต้องการความประณีตสวยงาม ปลายของไขควงจะสวมพอ ดีกับหัวสกรู
4.ไขควงออฟเสท (Offset Screwdriver) ไขควงออฟเสทใช้งานที่อยู่ในที่แคบ ๆ ยากที่จะใช้ไขควงธรรมดาเข้าไปขันได้สามารถขันสกรูได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องระวังเพราะไขควงหลุดจาก ร่องสกรูได้ง่ายทําให้หัวสกรูเสีย
ไขควงวัดไฟ

ประกอบด้วยหลอดนีออน ต่ออนุกรมกับตัวต้านทานค่าสูงๆ ประมาณ 500 กิโลโอห์ม
หลอดนีออน (ไม่ใช่ LED) เป็นหลอดที่ไม่มีไส้ ให้แสงสีส้ม กินกระแสน้อยมาก ก็สามารถติดสว่างได้แล้ว
ตัวต้านทานนั้นใช้เพื่อจำกัดกระแสไม่ให้เกินระดับที่จะเกิดอันตรายกับผู้ใช้งาน
การที่หลอดติดเรืองแสงขึ้นมาได้ เพราะตัวผู้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการไหลของกระแสไฟฟ้าจากปลายไขควง ผ่านเข้าหลอดนีออน และตัวต้านทาน ผ่านมาที่หัวไขควงจุดที่เอานิ้วแตะ ผ่านร่างกายผู้ใช้ ผ่านเท้า(และรองเท้า) ลงไปที่พื้นดิน กลับไปยังต้นทาง
คีม(Pliers)
เป็นเครื่องมือที่ใช้แรงบิดสำหรับจับ ยึด ตัด สิ่งต่างๆ เช่น โลหะแผ่นบาง สายไฟฟ้า ท่อขนาดเล็ก และเส้นลวด เป็นต้น มีการนำมาใช้มากในโรงงานโลหะแผ่น งานซ่อมวิทยุ หรือ อิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ คีมมีหลายชนิด แต่ที่สำคัญมีดังนี้ คือ คีมปากแบนหรือปากจิ้งจก (Flat Nose Pliers) คีมปากขยาย (Slip Joint Pliers) คีมล็อค (Vise Grip Pliers) คีมตัด (Cutting Pliers) และคีมตัดปากทแยง (Diagonal Cutting Pliers or Side cutters) เป็นต้น
การใช้คีมด้วยความปลอดภัย ทำได้ดังนี้
1.เลือกใช้คีมให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของคีมชนิดนั้นๆ เช่น คีมตัดไม่เหมาะกับการใช้จับ คีมตัดสายไฟฟ้าไม่เหมาะที่จะใช้ตัดแผ่นโลหะ เป็นต้น
2.ฟันที่ปากของคีมจับต้องไม่สึกหรอ ส่วนปากของคีมตัดต้องไม่ทื่อ
3.การจับคีม ควรให้ด้ามคีมอยู่ที่ปลายนิ้วทั้ง 4 แล้วใช้อุ้งมือและนิ้วหัวแม่มือกดด้ามคีมอีกด้าน จะทำให้มีกำลังในการจับหรือตัด
4.การปลอกสายไฟฟ้าควรใช้คีมปลอกสายไฟฟ้าโดยเฉพาะ เพราะจะมีขนาดของรูปเท่ากับขนาดของสายไฟฟ้าพอดี ส่วนการตัดสายไฟฟ้าหรือเส้นลวดที่ไม่ต้องการให้โผล่จากชิ้นงานควรใช้คีมตัดปากทแยง
5.ไม่ควรใช้คีมตัดโลหะที่มีขนาดใหญ่หรือแข็งเกินไป แต่ให้ใช้กรรไกรแทน
6.ไม่ควรใช้คีมขันหรือคลายหัวนอต เพราะจะทำให้หัวนอตชำรุด
7.ถ้าต้องจับชิ้นงานให้แน่นควรใช้คีมล็อก
8.ถ้าชิ้นงานมีขนาดใหญ่ ควรใช้คีมปากขยาย การใช้คีมที่ปากเล็กจะไม่มีกำลังที่จะจับชิ้นงานให้แน่น เพราะ ด้ามของคีมจะถ่างมากไป
9.ถ้าต้องการเก็บคีมไว้นาน ควรหยอดน้ำมันที่จุดหมุนของคีม และควรมีการหยอดน้ำมันเป็นระยะ
10.หลังจากเลิกใช้งานประจำวัน ควรเช็ดทำความสะอาด แล้วเก็บไว้ในที่ที่จัดเตรียมไว้หรือที่ปลอดภัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น